Ticker

6/recent/ticker-posts

CRC มั่นใจแผนธุรกิจปี 2564 ดันยอดขายโตมากกว่า 10% พร้อมจ่ายเงินปันผล 0.40 บาทต่อหุ้น


นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า เซ็นทรัล รีเทล ได้ปรับตัวแบบ V-shape ตั้งแต่ในไตรมาสที่ 3/2563 และไตรมาสที่ 4/2563 เราก็ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 51,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้น QoQ  +7% และทำกำไร 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น QoQ +27% ทำให้เซ็นทรัล รีเทล สามารถปิดปี 2563 ด้วยรายได้รวม 194,311 ล้านบาท (ลดลง 13%) และทำกำไรสุทธิ 341 ล้านบาท (ลดลง 97%) โดยมียอดขายเติบโต 180% บนช่องทางออมนิแชแนล เป็นสัดส่วนยอดขายเกือบ 10% และพร้อมจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น 0.40 บาทต่อหุ้น เซ็นทรัล รีเทล มั่นใจแผนธุรกิจปี 2564 จะดันยอดขายให้โตขึ้นกว่า 10%

นับตั้งแต่ปี 2560 เซ็นทรัล รีเทล ได้ประกาศยุทธศาสตร์หลัก “New Central, New Retail” พร้อมกับจุดมุ่งหมายขององค์กรที่จะเป็น ศูนย์กลางชีวิตของผู้คน” (Central of Life) สร้างทิศทางในการดำเนินธุรกิจและพัฒนาอีโคซิสเต็มให้เป็น “New Central Retail Lifestyle & Food Platform” ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อนำไปต่อยอดสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ อันได้แก่

  1. ปรับปรุงและขยายรูปแบบร้านใหม่ ในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งกลุ่มแฟชั่น ฟู้ด และฮาร์ดไลน์ ให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้างประสบการณ์ออมนิแชแนลใหม่ ๆ (Omnichannel Experience) ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
  2. เปิดตัว CENTRAL โมบายล์แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อทุกกลุ่มธุรกิจเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งปรับโครงสร้าง Big Data ครั้งใหญ่ ของฐานลูกค้า Loyalty ที่มีอยู่ในระบบถึง 24 ล้านคน ด้วยการสร้าง Hyper-personalization Offer แพลตฟอร์มใหม่นี้รวบรวมสินค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล มาไว้ในที่เดียว เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มสินค้า โดยขณะนี้มียอดผู้ใช้ บริการแล้วกว่า ล้านราย ภายหลังการเปิดตัวมาได้เพียง เดือน

  1. ร่วมมือกับพันธมิตร ติดอาวุธให้ เซ็นทรัล รีเทล มีความแข็งแกร่งทั้งอีโคซิสเต็ม โดยร่วมมือกับ เจดี เซ็นทรัล มาร์เก็ตเพลส (JD Central Marketplace) และ เจดี ดิจิทัล (JD Digital) สร้างบริการการจ่ายเงินแบบดิจิทัลและโซลูชั่นด้านธุรกรรมทางการเงิน (DOLFIN) และกับ แกร็บ ทำควิกคอมเมิร์ซ (Quick Commerce) ให้บริการออนดีมานด์ โดยเริ่มจากบริการการสั่งอาหารและ Tops Grocery ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก และได้ขยายไปยังกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อตอบสนองความต้องการแบบ On-demand ให้ครบทุกกลุ่มสินค้าทั่วประเทศ
  2. เข้าซื้อกิจการ เสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มฮาร์ดไลน์ โดยทุ่มงบลงทุนกว่า 12,000 ล้านบาท เพื่อซื้อกิจการ ออฟฟิศเมตบีทูเอส และเมพ (ร้านอีบุ๊คอันดับหนึ่ง) รวมไปถึงแพลตฟอร์มออมนิแชแนลสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B Omnichannel Platform) ล่าสุดได้เปิดตัวแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ “บีทูเอส ธิงค์สเปซ” คอนเซ็ปต์สโตร์รูปแบบใหม่ ที่เซ็นทรัล ชิดลม และได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีเกินคาด
  3. ไทวัสดุ ภายใต้กลุ่มฮาร์ดไลน์ จากการเริ่มธุรกิจมาเพียง 11 ปี ขณะนี้ได้ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งนเรื่องของรายได้ และเบอร์หนึ่งของออมนิแชแนลด้านค้าปลีกวัสดุตกแต่งบ้าน (Omnichannel Home Improvement Retailer) ซึ่งปีที่ผ่านมาสามารถทำรายได้รวมเกือบ 28,000 ล้านบาท พร้อมวางแผนเร่งเครื่องขยายเครือข่ายธุรกิจทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เพื่อเพิ่มยอดขายขึ้นอีกเท่าตัวภายใน 3-5 ปี 

 

  1. ธุรกิจกลุ่มฟู้ด
    • ในไทย มีการยกระดับและเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ให้เป็นแหล่งรวมอาหาร หรือ Food Destination ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดยปรับสาขาลาดพร้าวให้เป็น เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และปรับสาขาเวสต์เกตและศาลายา อย่างต่อเนื่อง
    • ในเวียดนาม เน้นธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์
      Big C/GO! เปิดตัวรูปแบบธุรกิจและช่องทางที่หลากหลายต่าง ๆ  (Multi-format) นำความสำเร็จของ ท็อปส์ มาร์เก็ต ไปเปิดที่เวียดนาม และขยายซูเปอร์มาร์เก็ต go! ไปยังจังหวัดรอง เพื่อให้ครอบคลุมทั้งประเทศเวียดนามภายใน ปี ซึ่งในขณะนี้ เซ็นทรัล รีเทล ได้ครอบคลุมมากกว่า 30 จังหวัดหลักในเวียดนามแล้ว (คิดเป็นสัดส่วน 85% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศเวียดนาม) และจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะเวียดนามมีศักยภาพของธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ มากกว่าประเทศไทยถึง เท่า

 

ปี 2564 ยังเป็นปีที่มีความท้าทาย แต่ เซ็นทรัล รีเทล ยังคงมุ่งมั่นและมีความมั่นใจว่าเราจะสามารถผลักดันธุรกิจให้โตมากกว่า 10% ด้วยงบลงทุน 18,000 ล้านบาทที่ได้วางแผนไว้ เพื่อเสริมสร้าง เซ็นทรัล รีเทล ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของคนไทย” นายญนน์ โภคทรัพย์ กล่าวปิดท้าย